ไขมันพอกตับ ดูจากค่าอะไร? หมอสอนอ่านผลเลือดด้วยตนเอง

ไขมันพอกตับ ดูจากค่าอะไร

          หากท่านได้มีโอกาสตรวจสุขภาพประจำปี ค่าที่มักจะแสดงในผลเลือดของท่านค่าหนึ่ง คือ ค่าการทำงานของตับ และจากผลเลือดเหล่านี้ ทำให้คุณหมอบางท่านอาจแจ้งท่านว่า ท่านเริ่มมีภาวะไขมันพอกตับแล้ว ภาวะนี้แม้จะไม่มีอาการ แต่เป็นภาวะที่อันตรายมาก เพราะสามารถกลายไปเป็นตับแข็ง หรือเป็นมะเร็งตับในอนาคตได้เลย

สารบัญ

ไขมันพอกตับมีอาการอย่างไร แบบไหนคือ อาการตับอักเสบ

              1 ใน 4 ของคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ อาจมีภาวะไขมันพอกตับซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่ไม่มีอาการแสดงใดๆในระยะแรกเลย จะแสดงอาการออกมาเมื่อมีภาวะแทรกซ่อน หรือกลายเป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าไปแล้ว เช่น ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ โดยท่านอาจสังเกตอาการได้ดังต่อไปนี้

  • ท่านอาจมีอาการเหนื่อยเพลียง่าย โดยเฉพาะระหว่างมื้ออาหาร หรือมีอาการปวดที่ด้านขวาบนของช่องท้อง อาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเริ่มต้นของภาวะตับอักเสบ
  • ท่านอาจมีอาการของภาวะตับแข็ง คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง เท้าบวม ขาบวม ท้องบวมโตขึ้น มีน้ำในช่องท้อง
  • ท่านอาจมีอาการของโรคมะเร็งตับเพิ่มขึ้นมา คือ อาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดเฉียบพลันได้

              ทั้งนี้หากท่านรอจนเกิดอาการข้างต้น นั่นแปลว่า โรคที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ เกินกว่าคำว่าไขมันพอกตับไปแล้ว ท่านควรลดปัจจัยเสี่ยง และมีการตรวจสุขภาพเป็นระยะๆ เพื่อให้ท่านสามารถแก้ไขภาวะนี้ได้อย่างทันท่วงที

จะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นไขมันพอกตับ ตรวจยังไงดีนะ?

             การตรวจไขมันพอกตับสามารถตรวจได้จากหลายวิธี ดังต่อไปนี้

  • ตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ (Liver function test)

          ดูจากค่า SGOT (หรืออาจแสดงในค่า AST) และ SGPT (หรืออาจแสดงในค่า ALT) โดยวิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพราะมักเป็นค่าที่อยู่ในโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีทั่วไป หากท่านพบว่าค่าดังกล่าวเริ่มสูงกว่าปกติ ควรนำผลเลือดไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติมต่อไป

  • ตรวจอัลตราซาวด์บริเวณช่องท้อง

          เพื่อดูลักษณะเฉพาะโรคของตับ โดยอาจพบว่า ตับมีขนาดโตขึ้น และขาวขึ้นกว่าอวัยวะข้างเคียง จากไขมันที่เข้าไปสะสมมากกว่าปกติ

  • การตรวจด้วย Fibroscan

         เป็นการตรวจความยืดหยุ่น พร้อมกับประเมินไขมันที่สะสมภายในตับ เพื่อสำรวจความเสียหายของเนื้อเยื่อตับ จากไขมันที่ไปพอกและสะสมมากกว่าปกติ

          โดยการคัดกรองเบื้องต้น ท่านอาจเริ่มจากการตรวจค่าการทำงานของตับจากการตรวจสุขภาพประจำปี หรือหากท่านใดมีโอกาสตรวจครบทั้ง 3 วิธี ก็จะยิ่งทำให้การวินิจฉัยทำได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ตรวจเลือดประจำปี ดูยังไงว่าเป็น ไขมันพอกตับ

            ค่าที่นิยมตรวจจากการตรวจสุขภาพประจำปี คือ ค่าการทำงานของตับ(Liver function test) โดยท่านสามารถมองหาค่า SGOT (หรืออาจแสดงในค่า AST) และ SGPT (หรืออาจแสดงในค่า ALT) หากตับของท่านเริ่มมีความผิดปกติ ท่านจะสังเกตเห็นทั้ง 2 ค่านี้ มีค่าที่สูงขึ้นเกินกว่าค่ามาตรฐาน

          โดยเฉพาะในผู้ที่เป็นไขมันพอกตับ มักพบค่าการทำงานของตับสูงขึ้นร่วมกับ มีค่าระดับน้ำตาล และค่าไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นเช่นกัน

          ดังนั้นหากท่านพบว่า ค่าการทำงานของตับท่านสูงกว่าค่าปกติ แม้เพียงเล็กน้อยและไม่มีอาการ ก็ไม่ควรปล่อยไว้ แนะนำให้ท่านนำผลเลือดของท่านปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและเริ่มต้นรักษาต่อไป

หมอแจกวิธีรักษา ไขมันพอกตับด้วยตนเอง

              ไขมันพอกตับ เป็นโรคที่ไม่มียาที่จะมาล้าง หรือรักษาไขมันพอกตับได้โดยง่าย วิธีการรักษาภาวะไขมันพอกตับที่ดีและได้ผลที่สุด ให้ท่านปฏิบัติตาม 4 ข้อนี้

  • ลดน้ำหนักอย่างจริงจัง หากท่านลดน้ำหนักได้ 5-10% จากน้ำหนักตั้งต้น ค่าการทำงานของตับจะดีขึ้น และหากท่านยังคงลดน้ำหนักได้ต่อเนื่อง จนถึง 15-20% ของน้ำหนักตั้งต้น ไขมันที่พอกตับของท่านอยู่จะลดลง หรืออาจหากจากภาวะนี้ได้เลย
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด ปรับมารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงมากขึ้น ลดการทานไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล ลดการกินน้ำตาล งดอาหารแปรรูปและของทอด เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงสารที่เป็นพิษต่อตับ เช่น งดการดื่มแอลกอฮอล์ งดอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ High Fructose Corn Syrup (HFCs)
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และลดเวลาที่ท่านนั่งนิ่งๆ ให้ท่านลุกเดิน หรือขยับตัวบ่อยๆ

คนเป็นไขมันพอกตับ เราควรตรวจค่าตับบ่อยแค่ไหน?

            สำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไขมันพอกตับแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ท่านเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ควบคุมอาหาร และลดน้ำหนักอย่างเคร่งครัด หลังจากนั้นแพทย์มักจะนัดตรวจติดตามอาการของท่านที่ 3-6 เดือน โดยจะติดตามค่าดังต่อไปนี้

  • ดูน้ำหนัก, ดัชนีมวลกาย (BMI) และค่าความดันโลหิต
  • เจาะเลือดเพื่อตรวจดูค่าการทำงานของตับ คือ ค่า SGOT (หรืออาจแสดงในค่า AST) และ SGPT (หรืออาจแสดงในค่า ALT)
  • เจาะเลือดตรวจหาภาวะดื้ออินซูลินจ จากค่าฮอร์โมนอินซูลิน (Fasting insulin) หรือในบางแห่งอาจใช้เป็นการคำนวนค่า HOMA-IR

สรุป

          ไขมันพอกตับเป็นโรคที่ไม่มีอาการแสดงใดๆในระยะแรก มักจะตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพประจำปี มักพบความผิดปกติจากค่าการทำงานของตับ คือค่า SGOT (AST) และ SGPT (ALT) ในผู้ที่มีภาวะไขมันพอกอาจตรวจพบค่าทั้ง 2 ค่านี้ สูงเกิดปกติได้ และมักพบร่วมกับค่าระดับน้ำตาล และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้น เมื่อพบสิ่งเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม และรีบรักษาก่อนจะเกิดภาวะแทรกกซ้อนรุนแรง