ไขมันพอกตับ อันตรายไหม ระวัง! เสี่ยงมะเร็งไม่รู้ตัว

ไขมันพอกตับ อันตรายไหม

          ไขมันพอกตับ จัดเป็นอีกหนึ่งโรคที่ปัจจุบันกำลังเป็นปัญหาเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดได้จากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมาะสม และเป็นภาวะที่ในช่วงแรกอาจไม่มีอาการใดๆเลย บางท่านจะตรวจพบก็ต่อเมื่อตรวจสุขภาพประจำปีเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่า ไขมันพอกตับ เป็นภาวะที่อันตราย จนสามารถนำไปสู่มะเร็งตับในอนาคตได้เลย

สารบัญ

ไขมันพอกตับ คืออะไร

         โรคไขมันพอกตับ (Fatty liver disease) หรือหลายๆท่านอาจคุ้นเคยกับคำว่า ไขมันเกาะตับ คือภาวะที่เกิดการสะสมของไขมันในตับมากกว่าปกติ คือ ประมาณ 5-10% ของตับ โดยไขมันตัวที่ก่อปัญหาไปเกาะที่ตับ ส่วนมากมักเป็นชนิด ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) 

          ความน่ากลัวของโรคนี้ คือ ในระยะแรก เป็นโรคที่ไม่แสดงอาการ หรือบางท่านอาจมีเพียงอาการอ่อนเพลีย หรือท้องอืดท้องเฟ้อ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้ทั่วๆไป แต่จะทำให้การทำงานของตับผิดปกติไป หากปล่อยไว้ ไม่แก้ไข อาจลุกลามเป็นตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ แม้ว่าท่านจะไม่เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลยก็ตาม

ไขมันพอกตับ คืออะไร

ไขมันพอกตับ เกิดจากสาเหตุอะไร?

         สาเหตุของการเกิดโรคไขมันพอกตับมีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน  ในปัจจุบันจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  • จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอออล์ (Alcoholic fatty liver disease) 

          โดยปกติแล้ว เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป แอลกอฮอล์จะถูกทำลายที่ตับ แต่หากท่านดื่มจนเกิดขีดความสามารถในการกำจัดแอลกอฮอล์ของตับ แอลกอฮอล์ที่ไม่สามารถทำลายได้หมด จะไปสร้างความเสียหายต่อเซลล์ตับได้

          ความรุนแรงของโรคไขมันพอกตับจากสาเหตุนี้ จะขึ้นกับประเภท ปริมาณ ความถี่ และระยะเวลาที่ท่านดื่มแอลกอฮอล์

  • ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver disease หรือ NAFLD) เช่นปัจจุบันเราพบว่า แม้ท่านจะไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ ท่านก็สามารถตรวจพบไขมันพอกตับได้ เพียงแค่ท่านมีภาวะดังต่อไปนี้
    • จากกลุ่มโรคระบบการเผาผลาญบกพร่อง (Metabolic syndrome) โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง และโรคความดันโลหิตสูง
    • จากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น การทานน้ำตาล และไขมันที่มากเกินไป

        ถ้าคุณกำลังหาวิธีแก้ความดันสูงอยู่อ่านบทความนี้เลยค่ะ ความดันสูงควรทำอย่างไร

ใครเสี่ยงไขมันพอกตับบ้าง? มีวิธีสังเกตยังไง?

          แม้ว่าโรคไขมันพอกตับ จะเป็นโรคที่ไม่มีอาการ แต่ท่านสามารถสังเกตุความเสี่ยงที่ท่านมี และรีบตรวจ รีบแก้ไข เพื่อลดความรุนแรงของโรคในอนาคต โดยผู้ที่เสี่ยงต่อการมีภาวะไขมันพอกตับ มีดังนี้

  • ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อเซลล์ตับ เกิดการอักเสบได้ง่าย
  • ผู้ที่มีโรคอ้วน น้ำหนักตัวมาก น้ำหนักเกิน อ้วนลงพุง
  • ผู้ที่มีโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีภาวะดื้ออินซูลิน
  • ผู้ที่รับประทานของหวานเยอะๆ โดยเฉพาะของหวาน หรือเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ High Fructose Corn Syrup (HFCs)

         ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับได้ทั้งสิ้น หากท่านพบว่ามีปัจจัยเหล่านี้อยู่ ควรรีบแก้ไข เช่น งดดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกาย ลดน้ำหนัก และควบคุมอาหารการ-ำกแกินของท่านอย่างเคร่งครัด

วิธี สังเกต ไขมันพอกตับ

เช็คระยะ ไขมันพอกตับ

          โดยส่วนมากแล้ว ไขมันพอกตับเป็นโรคที่ไม่มีอาการ มักจะเริ่มสังเกตจากการตรวจสุขภาพประจำปี ที่มีผลเลือดเริ่มผิดปกติไป รวมถึงการอัลตราซาวน์ หรือตรวจเพิ่มเติมอื่นๆ โดยจะแบ่งระยะของโรคไขมันพอกตับออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 ไขมันพอกตับธรรมดา เป็นระยะที่เริ่มมีการสะสมของไขมันที่ตับ แต่ยังไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ
  • ระยะที่ 2 เนื้อเยื่อตับอักเสบ เป็นระยะที่มีการสะสมของไขมันที่ตับมากจนเกิดการอักเสบเกิดขึ้น
  • ระยะที่ 3 เนื้อเยื่อตับอักเสบรุนแรงต่อเนื่อง เป็นระยะที่เกิดการอักเสบเรื้อรัง จนเกิดผังผิดสะสมในเนื้อตับ เซลล์ปกติของตับ จะค่อยๆถูกทำลาย และแทยที่ด้วยผังผืดไปเรื่อยๆ
  • ระยะที่ 4 ภาวะตับแข็ง เป็นระยะที่เซลล์ตับถูกทำลายไปมากจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอีกด้วย

ไขมันพอกตับ ระยะ

แค่เป็นไขมันพอกตับ เสี่ยงมะเร็งจริงมั้ย!?

          จากการศึกษาก่อนหน้านี้ เราทราบกันมาว่า หากท่านมีภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้ดูแลรักษา หากอาการหนักขึ้น จะกลายเป็นภาวะตับแข็ง และค่อยพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับตามลำดับ

          แต่ในปัจจุบันพบว่า เพียงท่านเป็นไขมันพอกตับ ที่ไม่ได้รักษา ไขมันที่มาสะสมที่ตับมากเกินไป จะปล่อยสารอักเสบ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นในเนื้อตับ และในเซลล์ตับ หากการอักเสบมีมากเกินไป เพียงแค่ท่านเป็นไขมันพอกตับ ก็อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้เลย แม้ว่าท่านจะไม่เคยมีภาวะตับแข็งมาก่อนก็ตาม

สรุป

          ไขมันพอกตับ แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในโรคที่อันตราย เพราะหากปล่อยไว้ อาจกลายเป็นตับแข็ง หรือเป็นมะเร็งตับได้เลย แม้ว่าท่านจะไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนเลยก็ตาม โดยปัจจัยเสี่ยงที่ท่านควรระวัง และควรรีบแก้ไข หากตรวจพบไขมันพอกตับ คือ งดดื่มแอลกอฮอล์ เริ่มลดหน้ำหนักอย่างจริงจัง และควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด